วิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel Temple)
อาบูซิมเบลเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ประกอบด้วยวิหารหินขนาดใหญ่ 2 แห่งในหมู่บ้านอาบูซิมเบล ประเทศอียิปต์ทางทิศใต้ใกล้ชายแดนประเทศซูดาน ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของทะเลสาบ Nasser ประมาณ 230 กม. (140 ไมล์) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองอัสวาน วิหารทั้งสองนี้เดิมแกะสลักจากไหล่เขาในศตวรรษที่ 13 ก่อนคริสต์ศักราช ระหว่างรัชสมัยราชวงศ์ที่ 19 ของฟาโรห์รามเสสที่ 2 (Ramesses II) มีรูปปั้นสลักหินภายนอกขนาดใหญ่ของ Ramesses II โดยมี ภรรยาเนเฟอร์ทรี (Nefertari) และลูกๆ ของเขาในร่างที่เล็กกว่าอยู่ใกล้ ประติมากรรมภายในวิหารใหญ่รำลึกถึงความเป็นผู้นำที่กล้าหาญของรามเสสที่ 2 ในสมรภูมิคาเดช
วิหารอาบูซิมเบลได้รับการกอบกู้จากการจมในทะเลสาบจากนานาชาติ ด้วยความพยายามอย่างกล้าหาญในปี 1968 วิหารโบราณนี้ถูกตัดออกเป็นก้อนขนาดใหญ่ และได้ย้ายมายังที่ตั้งในปัจจุบันนี้ เพื่อหนีจากภัยน้ำท่วม ซึ่งประมาณการณ์ว่าอย่างน้อยสามารถหลีกหนีน้ำท่วมได้อีก 3,000 ปี
รูปสลักหินสูงตระหง่านของฟาโรห์ผู้ทรงพลังทั้ง 4 รูป หน้าทางเข้าวิหาร มีรูปสลักหินขนาดเล็กของภรรยาเนเฟอร์ทรี (Nefertari) และลูกๆ ของเขา ที่ถือว่ามีพลังอำนาจและความสำคัญน้อยกว่า จึงสร้างขึ้นในรูปร่างที่เล็กกว่า อยู่ใต้รูปของฟาโรห์รามเสสที่ 2 เมื่อเข้าสู่โถงกลางที่เรียงรายไปด้วยรูปสลักยืนฟาโรห์รามเสสที่ 2 ที่สง่างามติดอยู่กับเสารองรับคานและเพดานด้านบน (เป็นลักษณะของสถาปัตยกรรมอียิปต์ เรียกว่า ไฮโปสไตล์) และรายล้อมด้วยภาพและอักษรภาพที่แกะสลักแบบนนูนต่ำ ที่อยู่บนเสาและผนัง มีภาพที่ฟาโรห์เข้าสู่สนามรบ ขึ้นรถศึกที่ลากด้วยพละกำลังของม้า เข้าทำลายศัตรูให้หมดสิ้น และในท้ายที่สุดฟาโรห์รามเสสที่ 2 นั้นมีความยิ่งใหญ่เทียบเท่าเทพอันศักดิ์สิทธิ์
วิหารและการตกแต่งทั้งภายในภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งที่สุดแห่งหนึ่งของอียิปต์ ที่อยู่อยู่ในเขตแดนของชนเผ่า Nubia ทางตอนใต้ ซึ่งได้มีการปรับการสร้างให้สอดคล้องกับความเชี่ยวชาญและฝีมือช่างที่ใช้การเจาพภูเขาและแกะสลักทุกสิ่งอย่างจากหินภูเขานั้นเอง ซึ่งผิดกับอียิปต์ตอนเหนือที่สร้างเป็นโครงสร้างอาคารขึ้นมา
มีลานด้านหน้ากว้างมีประติมากรรมขนาดมหึมาของฟาโรห์รามเสสที่ 2 จำนวน 4 รูป นั่งบนหิน สูงกว่า 20 เมตร จากพื้นที่ด้านนอกนำไปสู่สถานที่ศักด์สิทธิ์ในวิหาร ห้องโถงตกแต่งด้วยเสาหินแกะสลักที่ดูมีชีวิตอย่างน่าทึ่ง ซึ่งมีขนาดใหญ่มากเป็นลักษณะโดดเด่นของอียิปต์โบราณเมื่อเปรียบเทียบกับสถาปัตยกรรมโบราณอื่นๆ เช่น กรีก อียิปต์สร้างสถาปัตยกรรมในมาตราส่วนไม่ใช่เพียงสำหรับมนุษย์ แต่สำหรับเทพเจ้าของเขานั้นเอง
เสา 8 ต้นที่สลักจากหินเป็นรูปฟาโรห์รามเสสที่ 2 อยู่ในห้องโถงด้านหน้ารองรับคานและเพดาน ที่มีสถานะเป็นเทพซึ่งมีความเชื่อมโยงกับเทพเจ้าโอซิรีส และภาพบนผนังที่โด่งดังที่สุด คือ ฉากการต่อสู้ในสงครามของรามเสสที่ 2 บนรถศึก ยิงธนูต่อสู้กับศัตรูที่กำลังหลบหนี ซึ่งถูกจับเป็นเชลย ด้านข้างห้องโถงมีห้องเล็กๆ 8 ห้อง ห้องติดกับโถง และห้องด้านหลังเป็นห้องเล็กๆ ในรูปแบบไฮโปสไตล์ ที่มีเสา 4 ต้น ด้านหลังเป็นห้องแถบยาวและห้องอีก 3 ห้อง ห้องกลางเป็นห้องศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ประทับนั่งของเทพเจ้าทั้ง 4
แม้ว่าแนวคิดแบบห้องไฮโปสไตล์จะเปลี่ยนไปโดยเสาเป็นรูปมนุษย์ แทนที่จะเป็นเสาใหญ่ตั้งตรงขึ้นไปเหมือนไฮโปสไตล์ของอียิปต์ทั่วไป โถงหน้าเพดานจะสูงมากที่สุด และเมื่อเดินผ่านเข้าไปเพดานห้องอื่นๆ จะต่ำลง และห้องเล็กลงด้วย ทำให้มีความรู้สึกเหนือนส่งเข้าสู่ด้านในที่มีความดึงดูดมากขึ้น มีการคาดเดาว่ารามเสสนั้นต้องการส่งผ่านและแสดงความยิ่งให้เป็นที่ประจักษ์ยังผู้คนทั่วไป ซึ่งเป็นการใช้จิตวิทยาในการปกครองนั้นเอง
การเลือกที่ตั้งวิหารในครั้งแรกที่ริมน้ำนั้นมีทำเลที่ตั้งสวยงามที่แสดงถึงรสนิยมอันวิไลซ์ในเรื่องทิวทัศน์ของรามเสสที่ 2 และยังมีความมหัศจรรย์ในวิหารที่ขุดขึ้นในภูเขา ได้เกิดปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาด ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของวิหารนี้มีแท่นบูชารองรับองค์เทพที่นั่งเรียงลำดับ และรามเสสที่ 2 ก็มีส่วนในการนั่งในที่เดียวกันราวกับเป็นเทพองค์หนึ่ง
สิ่งที่น่าประหลาดใจ คือ ในแต่ละปีจะมีปรากฏการณ์ธรรมชาติ 2 ครั้ง 2 วัน คือวันที่ 21 ตุลาคม และ 21 กุมภาพันธ์ แสงอาทิตย์จะส่องแสงเข้าสู่ใจกลางวิหารของรามเสสที่ 2 ไปถึงรูปสลักของ เทพเจ้า Amun,รามเสส และรา ส่วนเทพเจ้า Ptah ที่เป็นเทพเจ้าแห่งความมืดมิด จะไม่ต้องแสงอาทิตย์ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในปรากฏการณ์ธรรมชาติได้ในระดับหนึ่ง และใช้ในการออกแบบจัดวางวิหารแห่งนี้
วิหารสำหรับเนเฟอร์ทรี
รามเสสที่ 2 ยังให้สร้างวิหารอีกแห่งหนึ่งที่มีขนาดเล็กกว่าอยู่ไม่ไกลกันนัก เพื่อเป็นเกียรติแก่เนเฟอร์ทรีภรรยาของเขา วิหารนี้ยังคงลักษณะการวางเสาหินที่โถงด้านใน แต่เป็นการแกะสลักใบหน้าสตรีบนเสาซึ่งเป็นประติมากรรนูนต่ำขนาดมหึมา การตกแต่งภายในคล้ายคลึงกับวิหารรามเสสที่ 2 แม้จะมีขนาดเล็กกว่า แต่ก็เว้นระยะช่องว่างที่เหมือนกัน เป็นห้องไฮโปสไตล์ที่มีเสามีภาพของ Hathor เทพธิดาแห่งความเป็นสตรีและการดูแลมารดาของอียิปต์ ซึ่งทั่วไปจะแสดงให้เห็นด้วยรูปลักษณ์ของวัว แต่ในวิหารนี้ แกะหน้าเป็นผู้หญิงที่มีหูวัว ในห้องไฮโปสไตล์นี้ยังมีภาพและอักษรจารึกที่กล่าวถึงเนเฟอร์ทรี และเทพเจ้าอียิปต์บางองค์ นอกจากนี้ยังมีห้องเล็กๆ หลายห้อง ห้องด้านหลังเป็นที่ตั้งของรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์
วิหารทั้งสองนี้ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของอียิปต์เป็นที่รู้จักมากที่สุดแห่งหนึ่ง ที่เคลื่อนย้ายออกมาจากที่ตั้งเดิม สร้างจากการขุดภูเขาธรรมชาติ มาตั้งอยู่ที่ริมทะเลสาบแล้วสร้างภูเขาจำลองครอบเอาไว้ ทำให้การเดินทางเข้าถึงโดยง่าย ทางรถยนต์ที่ใกล้บริเวณนี้มีหมู่บ้านชาวนูเบียที่ชำนาญการแกะสลักหิน มีร้านขายสินค้าจากหินแกะสลักมากมายหลายแห่งให้แวะชมและเลือกซื้องานฝีมือที่สวยงาม และยังมีโรงแรม รีสอร์ท เกรสท์เฮาส์ ให้เลือกพักอีกด้วย
How to go there:
โดยสายการบิน Egyptair บินตรงจากไคโรหรือเมืองอัสวาน นั่งแท็กซี่หรือขับรถมาจากเมืองอัสวาน หรือซื้อทัวร์ในการท่องเที่ยว
Where to stay:
– Seti Abu Simbel Lake Resort Check in
When is the best time to visit:
เวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมอียิปต์คือระหว่างเดือนตุลาคมถึงเมษายน อุณหภูมิจะเย็นลง แต่คุณยังคงได้รับแสงแดด นี่คือช่วงที่อียิปต์อยู่ในอุณหภูมิที่สบายที่สุด
Why visit Abu Simbel:
วิหารใหญ่แห่งอาบูซิมเบลอุทิศให้กับเทพเจ้า Amon-Ra, Ra-Harakhti และ Ptah แต่ก็สร้างขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอียิปต์และเพื่อถวายเกียรติแด่ Ramesses II ชั่วนิรันดร์
Which dress to visit abu simbel:
เสื้อผ้าเบาสบาย ระบายความร้อนได้ดี เสื้อแขนสั้นถึงแขนยาว กระโปรง-กางเกงถึงเข่า หรือยาวเลยเข่า อย่าลืมหมวกกันแดด และผ้าโพกศรีษะสำหรับผู้หญิงที่มีประโยชน์ในการกันแดดและฝุ่นได้ดี
Who to contact with:
หากมีเหตุด่วน หรือเหตุฉุกเฉิน ที่ต้องการคำปรึกษาในประเทศอียิปต์ ดูข้อมูลและติดต่อที่ https://cairo.thaiembassy.org/
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
– 3 ยุคที่ยิ่งใหญ่แห่งวัฒนธรรมอียิปต์โบราณ
– 10 ประสบการณ์ห้ามพลาดในอัสวาน อียิปต์