อิสตันบูล เมืองหลวงที่มีพื้นที่ 2 ทวีป ของประเทศตุรกี เป็นสถานที่นัดพบของศิลปวัฒนธรรมที่ตกทอดจากผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ อิสตันบูล หล่อหลอมออกมาเป็นรูปทรงสถาปัตยกรรม งานศิลปะ และวิถีชีวิตของผู้คน ที่เชื่อมเข้าหากันแทบจะไร้รอยต่อเลยทีเดียว
อิสตันบลู เป็นเมืองที่สร้างขึ้นโดยชาวกรีกมีชื่อเมืองว่า ไบแซนเทียน ภายหลังโดนรุกรานครอบครองจากชาวโรมันและได้มีการสร้างเป็นจักวรรดิไบแซนไทน์มีเมืองหลวงชื่อว่าคอนสแตนติโนเปิลเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ ต่อมาสุลต่านเมห์เม็ดที่ 2 ได้บุกยึดเมืองและได้นำวัฒนธรรมแบบมุสลิมมาใช้ในการปกครองเปลี่ยนชื่อเมืองอิสตันบลูซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก
เมื่อระยะเวลาผ่านไปได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐตุรกีและย้ายเมืองหลวงไปที่อังการา จากการอยู่ในระบบการปกครองที่หลากหลายเชื้อชาติจึงไม่แปลกใจเลยว่าเมื่อได้มาเยือนเมืองนี้ทำให้ได้พบกับความงามที่หลากหลายทั้งวัฒนธรรม ศิลปะ สถาปัตยกรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองก็มีความน่าสนใจอย่างมาก และยังเป็นเมืองที่อยู่บนสองทวีป คือ ทวีปยุโรป Thrace ของฝั่งบอสฟอรัส และทวีปเอเชียฝั่งอนาโตเลีย ที่สามารถข้ามไปหากันได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที
บลูมอสก์ (Blue Mosque) หรือสุเหร่าสุลต่านห์อาร์เหม็ดที่ 1 สุเหร่าสีฟ้าสัญลักษณ์ของอิสตัลบลู เพียงแค่มองจากภายนอกก็รูสึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของตัวสุเหร่าที่สุลต่านห์อาร์เหม็ดที่ 1 ต้องการสร้างให้มีขนาดใหญ่กว่าวิหารคริสต์เซนต์โซเฟีย ยิ่งได้ศิลปะแบบออตโตก็ยิ่งทำให้ดูน่าค้นหา
เมื่อเข้าไปภายในก็จะได้เห็นถึงความอลังการของห้องโถงขนาดกว้าง หลังคาโค้งที่มีสีฟ้าสดใสจากการใช้กระเบื้องอัซนิควางเป็นลวดลายดอกไม้ กุหลาบ คาร์เนชั่น ทิวลิป มีหน้าต่าง 260 บาน มีหอสวดทั้งหมด 7 หอ เพิ่มความวิจิตรด้วยกระจกสีสันต่างๆ ที่สะกดทุกสายตาได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันเปิดให้เป็นสถานที่ละหมาดตลอด 24 ชั่วโมง
ในช่วงยามค่ำคืนจะเปิดไฟประดับประดาอย่างสวยงาม ซึ่งการเข้าไปท่องเที่ยวในสถานที่แห่งนี้ก็ต้องเข้าไปด้วยความเคารพ โดยถอดรองเท้า หมวก แว่นดำ แต่งกายมิดชิด สตรีควรติดผ้าพันคอหรือผ้าคลุมสำหรับพันศรีษะเมื่อเข้าไปด้านใน
จัตุรัสสุลต่านอาเหม็ด
จัตุรัสสุลต่านอาเหม็ด ฝั่งตรงข้ามอีกด้านก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์ อายาโซเฟีย (Ayasofya) หรือ ฮายาโซฟีอา (Hagia Sophia) ในอดีตเป็นวิหารเซนต์โซเฟียคริสตจักรนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ ตัววิหารสร้างด้วยสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ มีขนาดใหญ่โต และสุลต่านอาร์เหม็ดที่ 1 ต้องการสร้างสุเหร่าให้มีขนาดที่ใหญ่กว่า จนทำให้ที่นี่ยังได้รับเลือกให้เป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง
หลังจากถูกรุกรานจากการล่าอาณานิคมทางสุลต่านเมห์เมตที่ 2 ได้ทำการเปลี่ยนแปลงโดยสั่งให้โบกปูนทับภาพโมเสดต่างๆ ตามความเชื่อของทางศาสนา จนกระทั่งเมื่อประกาศให้เป็นสาธารณรัฐตุรกี ทางรัฐบาลได้ทำการบูรณะและเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ด้วยความสวยงามโดนเด่นของโดมขนาดใหญ่ที่เจาะเป็นช่องหน้าต่างด้านบนจำนวน 40 ช่อง ทำให้แสงอาทิตย์ที่ตกกระทบไปยังภาพโมเสดที่ประดับด้วยกระจกสีเสาหินอ่อนและพื้นหินอ่อน สีขาว สีเขียว สีชมพู สีเหลือง ซึ่งเป็นภาพของพระเยซู พระแม่มารี นักบุญคริสเตียน และทูตสวรรค์ ดูงดงามยิ่งนัก
และก็ยังมีสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจอีกอย่างก็คือเสาร้องไห้ (Weeping Pillar) ที่อยู่บริเวณฝังศพของแม่ทัพเมืองเวนิสที่เสียชีวิตที่นี่ นักท่องเที่ยวนิยมใช้นิ้วหัวแม่มือแหย่เข้าไปในรูแล้วตั้งจิตอธิฐานเพื่อให้ช่วยประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการ
อีกหนึ่งแห่งที่น่าสนใจและอยู่ใกล้กับบลูมอสก์และพิพิธภัณฑ์อายาโซเฟียสามารถเดินไปได้สบายๆ ก็คืออุโมงค์เก็บน้ำใต้ดินเยเรบาตัน (Yerebatan Sarnici) ที่ใหญ่ที่สุดในอิสตันบลู ค้นพบโดย Peter Gylius ชาวฝรั่งเศส ที่ได้เข้ามาทำงานวิจัยในปี 1545 และเปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการในปี 1987 อุโมงค์เก็บน้ำแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยกษัตริจัสติเนียนจักรวรรดิไบแซนไทน์
ถึงจะเป็นเพียงที่เก็บกักน้ำสำหรับใช้ในพระราชวังแต่ก็ยังมีความงามแบบโรมันโดยใช้ศิลปะแบบคอรินเทียนประดับต้นเสา มีความงดงามแปลกตาเมื่อเดินเข้าไปชมด้านในชั้นใต้ดินก็จะมีต้นเสารูปหยดน้ำตาที่เชื่อว่าเป็นดวงตาของทาสที่เสียชีวิตระหว่างการก่อสร้าง และที่สร้างความสะพรึงก็คือ ต้นเสารูปเมดูซากลับหัวและต้นเสารูปเมดูซาหัวตะแคงขวา
ทางรัฐบาลมีการบูรณะปรับปรุงให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีทางเดินคอนกรีตสะอาดสะอ้าน มีรั้วไม้กันยาวล้อมไปโดยรอบบริเวณ ถึงจะอยู่ใต้ดินแต่ก็ไม่มีความอับชื้นแต่ก็ต้องระวังบางช่วงบางตอนของทางเดินที่อาจจะลื่นด้วยหยดน้ำที่หยดลงมาตลอดเวลา แต่เมื่อได้เข้าไปสัมผัสก็รับรู้ได้ถึงมนต์ขลังของอดีตที่ผ่านเรื่องราวของความสูญเสียที่มีอยู่อย่างมากมาย
ระหว่างเดินชมความงามของสถาปัตยกรรมของอาคารต่างๆ ก็ต้องสะดุดตากับขนมหลากสีสันที่มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมบ้างทรงกลมบ้างทรงลูกเต๋าบ้าง พอเดินเข้าไปในร้านสอบถามจนได้ความ ขนมชนิดนี้คือ เตอร์กิช ดีไลท์ (Terkish Delight) ของหวานพื้นเมืองชนิดนี้เป็นที่นิยมของชาวตุรกีเป็นอย่างมากมีชื่ออีกอย่างว่า โลคุม (Lokum) ทำจากแป้งและน้ำตาลมีหลากหลายรสชาติทั้ง ถั่ว อัลมอนติ แมคคาดาเมีย วอลนัท ส้ม ช็อกโกแล็ต ตัดเป็นชิ้นๆ คลุกเคล้ากับน้ำตาลไอซิ่ง ที่พอได้ชิมคำแรกก็ต้องสะดุ้งไปกับความหวานที่บาดตั้งแต่โคนลิ้นไปยังลำคอ
ต้องขอบอกเลยว่าขนมหวานบ้านเรายังหวานสู้ไม่ได้จริงๆ และถ้าหากอยากลองลิ้มชิมรสขนมชนิดนี้แนะนำให้รับประทานคู่กับชาหรือกาแฟที่จะช่วยให้รสชาติละมุนขึ้น ว่ากันว่าขนมชนิดนี้เป็นขนมที่สุลต่านแห่งออตโตมันต้องการทำเพื่อเอาใจภรรยา จึงได้สั่งให้เชฟของหวานในราชสำนักทำขนมหวานที่มีรสชาติใหม่ๆ ที่ทำจากน้ำเชื่อมผสมถั่วผลไม้แห้งจนประสบความสำเร็จ คนในราชสำนักชอบขนมชนิดนี้กันเป็นอย่างมาก และก็กลายเป็นขนมขึ้นชื่อของอิสตัลบลูที่ทุกคนต้องไม่พลาด
ไหนๆ ก็เอ่ยถึงเรื่องอาหารแล้วก็ถือโอกาสพาไปชิมอาหารประเภทอื่นๆ ทั้งอาหารพื้นเมือง ของรับประทานเล่น ที่มีร้านค้าเรียงรายอยู่ตามถนนหรือในตัวตึกและร้านรถเข็นที่อยู่ตามบริเวณสวนสาธารณะและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ กันบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารมุสลิมประกอบไปด้วยผักสด เนื้อวัว เนื้อแกะ อาหารทะเล และแป้ง
หลายคนที่เคยไปอิสตันบลูคงเคยเห็นขนมปังก้อนใหญ่ ที่มีสีขาวรูปร่างเรียวมนมีรอยปริที่เกิดจากการอบ ขนมปังชนิดนี้เรียกว่า Ekmek นิยมรับประทานคู่กับอาหารคาวที่เป็นเมนูต้ม แกง แทนข้าว
ส่วนร้านอาหารที่อยู่ตามตึกมีถาดใส่อาหารวางอยู่ หน้าตาอาหารหลากสีสันคล้ายกับข้าวแกงของบ้านเรา เป็นเมนูอาหารที่มีต้นกำเนิดมาจากเติร์ก ใช้ปรุงด้วยเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อไก่ และอาหารทะเล นำมาต้ม อบ ย่าง แล้วปรุงด้วยเครื่องเทศที่มีอยู่ในท้องถิ่นรสชาติออกทางเมดิเตอร์ริเนียนที่จัดจ้านขึ้นเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
เลาะลิ้มชิมรสกันไปตามเส้นทาง ก็จะได้เห็นรถเข็นขายอาหารประเภทรับประทานเล่น จำพวกข้าวโพดปิ้ง เกาลัด ที่ส่งกลิ่นหอมลอยมาตามลม สำหรับเมนูที่ทำให้ต้องเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็คือ ไอศกรีม ตุรกี (Terkish Ice-cream) ที่มีความเหนียวหนึบต้องเคี้ยวเวลารับประทาน มีให้เลือก 3 รส ด้วยกัน วานิลา ช็อกโกแลต มะม่วง รสชาติหอมหวลชวนรับประทาน
แต่สิ่งที่ดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร้านมากกว่าไอศกรีมก็น่าจะเป็นลีลาการขายดึงเนื้อไอศกรีมขึ้นลงโยกซ้ายทีขวาที กว่าลูกค้าจะได้รับประทานกันแต่ละครั้งก็ต้องดูโชว์พิเศษชุดนี้เสียก่อน ถือว่าเป็นของแถมที่ทางร้านมีไว้สมนาคุณฟรีๆ ไม่คิดเงินเพิ่ม
มีอาหารคาวและขนมหวานแล้ว ก็ต้องมีเครื่องดื่มชากาแฟที่มีให้เลือกทั้งแบบนั่งในร้าน ขายตามรถเข็นริมถนน เมื่อได้มาเยือนที่นี่ทั้งทีก็ต้องจิบชาคู่กับเตอร์กิช ดีไลท์ ขนมพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อก็อร่อยลงตัวเมื่อมาคู่กัน ซึ่งชายอดนิยมก็จะเป็น ชาแอปเปิ้ล ที่รสชาติไม่ขมนักท่องเที่ยวมักสั่งชารสชาตินี้มาดื่มกัน
คนที่นี่ชื่นชอบการดื่มชาถึงขนาดมีศิลปะการชงชาที่เรียกว่า ซาโมวาร์(Samovar) ใช้กาชงทรงสวยใส่น้ำและใบชา ด้านล่างเป็นถ่านให้ความร้อน รสเข้มมีสีแดงเมื่อได้ดื่มครั้งแรกจะขมและจะหวานติดปลายลิ้นในภายหลัง ภาชนะที่ใส่ก็จะเป็นแก้วทรงดอกทิวลิบขนาดเล็กสวยงาม
แล้วเดินทางท่องเที่ยวกันต่อเพราะในเมืองอิสตันบลูยังมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่ไปในวันเดียวคงไม่หมด โดยเฉพาะในส่วนของท้องทะเลชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนยังมีความสวยงาม และวิถีชีวิตของผู้คนที่น่าสนใจอยู่อีกมากมาย
สะพานกาละตะ (Galata Bridge) สะพานประวัติศาสตร์ที่ใช้ข้ามอ่าวโกลเด้นฮอร์นที่เป็นท่าเทียบเรืออีกแห่งของเมืองอิสตันบลู สะพานแห่งนี้เป็นตัวเชื่อม 2 เมืองเก่าของอิสตันบลูกับเขตทางเหนือ นอกจากจะเป็นเส้นทางสัญจรยังเป็นจุดชมวิวเมืองที่สวยในช่วงเวลาเย็นยามพระอาทิตย์ตกดินและมีไฟแสงสีที่เปิดประดับโบสถ์วิหารและสุเหร่าต่างๆ สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือภาพของคนตกปลาที่มีให้เห็นเต็มบนสะพาน
กิจกรรมยอดนิยมของคนที่นี่ ถึงกับมีบริการอุปกรณ์ให้เช่า และปลาที่ตกได้ก็นำไปขายให้กับร้านอาหารที่อยู่บริเวณด้านล่างสะพาน นอกจากจะได้ความเพลิดเพลินแล้วยังสร้างรายได้ให้อีกด้วย และบริเวณสองข้างทางของสะพานก็ยังมีอาหารของรับประทานรวมถึงของฝากของที่ระลึกแบบแฮนด์เมคเก๋ๆ วางจำหน่าย สะพานกาละตะจึงเป็นอีกแห่งที่เหมาะสำหรับการมาเดินเล่นชิลล์ๆ ชมวิวเมืองยามเย็นในบรรยากาศสุดแสนโรแมนติก ที่อยากให้คุณได้มาสัมผัสด้วยตัวคุณเอง
พามาลงทะเลที่ช่องแคบบอสฟอรัสที่ทุกคนคงคุ้นชื่อเป็นอย่างดี ช่องแคบนี้เป็นพรหมแดนที่กันระหว่างทวีปยุโรปและเอเชีย เชื่อมต่อระหว่างทะเลดำ (The Black Sea) กับทะเลมาร์มาร่า (Sea Of Marmara) ถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ ด้วยในอดีตมีการตั้งป้อมปราการ หรือป้อมปืนใหญ่เพื่อป้องกันภัยจากสงคราม
ต่อมาก็ได้มีการสร้างสะพานเพื่อความสะดวกต่อการเดินทางของทั้งสองทวีป ได้แก่ สะพานแขวนบอสฟอรัส (Bosphorus Bridge) ที่มีความยาวถึง 1.5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ระหว่างทางสามารถจอดรถชมวิวได้ ถ้านั่งรถโดยสารประจำทางให้เลือกชั้น 2 จะได้เห็นช่องแคบและเกาะปรินซ์อย่างชัดเจน รวมถึงท้องทะเลที่กว้างสุดสายตา ส่วนที่สร้างภายหลังและอยู่ในส่วนที่แคบที่สุดคือสะพานสุลต่านเมห์เมตผู้พิชิต
ล่องเรือเฟอร์รี่
นอกจากทางบกแล้วการเดินทางผ่านช่องแคบเพื่อข้ามทั้งสองทวีปแล้ว ยังมีอีกหนึ่งทางเลือกโดยการนั่งเรือโดยสารข้ามฝากและการล่องเรือแบบเฟอร์รี่ โดยท่าเรือเอมิโนนูเป็นศูนย์กลางของการเดินเรือ ถ้าไม่ต้องการสัมผัสบรรยากาศอะไรมากมายเพียงแค่ข้ามไปท่องเที่ยวอีกฝั่งที่เป็นฝั่งเอเซียก็ใช้บริการของเรือโดยสารที่ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง แต่ถ้าต้องการที่จะแวะชมสถานที่เที่ยวต่างๆ และเพื่อซึมซับบรรยากาศก็ขอแนะนำเป็นเรือเฟอร์รี่ล่องชมความงามของช่องแคบบอสฟอรัส ที่จะพาไปยังพิพิธภัณฑ์เรือ พระราชวัง โดลมาบาเช พระราชวังชีราอานปัจจุบันเป็นโรงแรมชีราอาน โฮเตล เคมปินสกี้
ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในฝั่งยุโรป ส่วนฝั่งเอเซียก็จะเป็น เฟติ อาห์เมต ปาซา ยาลี เรียงรายไปด้วยเรือนไม้ฤดูร้อนและสถานทูต รวมถึงสถานที่ราชการสำคัญ และเมื่อมาถึงฝั่งนี้ก็ต้องแวะชิมโยเกิร์ตรสชาติดั้งเดิมที่คานจาลี เดินเล่นพักผ่อนที่หมู่บ้านอัลบาเนีย และอานาโคลูซีอาร์ อันแสนสงบ สำหรับช่วงเวลาการล่องเรือก็ขอแนะนำให้ออกจากฝั่งยุโรปช่วงบ่ายๆ เพื่อที่จะได้เก็บสถานที่ท่องเที่ยวฝั่งเอเซียให้เต็มที่
และกลับมาฝั่งยุโรปก่อนเวลาพระอาทิตย์ตกสักเล็กน้อยแล้วจะได้พบกับความงามในอีกรูปแบบ ที่บริเวณใต้สะพานบอสฟอรัสที่มีทั้งร้านอาหาร คลับ บาร์ หอศิลป์ สีสันยามค่ำคืนที่ดูสวยและครึกครื้นเป็นเสน่ห์อีกอย่างของเมืองนี้
ที่โดดเด่นเป็นจุดสนใจทางทะเลอีกอย่างก็คือประภาคารกลางช่องแคบบอสฟอรัส เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหอคอย (Maiden’s Tower) ที่สร้างขึ้นมาในสมัยจักรพรรดิอเล็กซิออสที่ 1 โคเนนอส เพื่อเป็นสถานีของทหารเรือในสมัยสงครามคูเสด ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นหอนาฬิกา และเมื่อเกิดแผ่นดินไหวจนเกิดไฟไหม้ ก็ได้มีการซ่อมแซมและสร้างใช้เป็นประภาคารในยุคสมัยต่อมา และยังเคยเป็นจุดตรวจเรือเข้าออกของเมืองอีกด้วย
ในปัจจุบันเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ห้องจัดเลี้ยง หากต้องการเข้าไปชมความงามในตัวหอคอยก็ต้องนั่งเรือเฟอร์รี่เข้าไปใช้เวลาต่อคิวไม่นานและต้องขอบอกเลยว่าคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปเป็นอย่างมาก
ด้วยความงามภายในที่สรรค์สร้างด้วยภาพจิตรกรรมจากฝีมือจิตรกรถึงแม้จะผ่านมาหลายยุคหลายสมัย และก็ยังมีเรื่องเล่าเคล้าน้ำตาอยู่สองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรกเป็นเรื่องของเจ้าหญิงธิดาของสุลต่านที่หมอดูทำนายว่าหากอายุครบ 18 จะโดนงูเห่ากัดตาย สุลต่านจึงได้นำธิดามาไว้ที่หอคอย และเมื่อถึงวันเกิดของธิดาสุลต่านก็นำตะกร้าผลไม้ไปเป็นของขวัญวันเกิด ทันทีที่ธิดาเปิดตะกร้าก็เจองูเห่าและก็โดนกัดตายในที่สุด
อีกเรื่องเป็นเรื่องของหญิงสาวนามว่าฮีโร มีชายหนุ่มคนรักที่ชื่อว่า เรนเดอร์ ว่ายน้ำข้ามฝั่งมาหากันเป็นประจำโดยเธอจะจุดโคมไฟนำทางไว้ให้ แต่แล้วในช่วงคืนหนึ่งที่มีพายุลมแรงโคมไฟดับทำให้คนรักหนุ่มหลงทางและว่ายน้ำจนหมดแรงจมหายไปในทะเลเธอจึงโดดทะเลตายตามไปเช่นกัน ซึ่งภายในหอคอยก็มีภาพวาดของทั้งสองเรื่องไว้ให้ชม
สิ่งที่ทุกคนทุกเพศทุกวัยชื่นชอบก็คงไม่พ้นในเรื่องของการช็อปปิ้ง ซึ่งแหล่งช็อปปิ้งที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้ก็คงต้องยกให้แกรนด์บาซ่า แต่ระหว่างทางก่อนที่จะถึงก็ต้องขอหยุดเซลฟีกับตึกรามบ้านช่องหลากสีสันตกแต่งออกแบบในสไตล์ร่วมสมัยโดยไม่ทิ้งกลิ่นอายของความเป็นออตโตที่สร้างความสะดุดตาจนต้องหยุดถ่ายรูปเก๋ๆ เอาไว้ลงโซเชียลอวดใครต่อใคร
หลังจากชื่นชมกับความงามของบ้านเมืองเป็นที่เรียบร้อยก็ได้เวลาตะลุยหาของใช้ของขวัญของฝากสำหรับตัวเองญาติพี่น้องและเพื่อนๆ ตลาดแกรนด์บาซ่า (Grand Bazaar) เป็นตลาดในร่มที่ใหญ่ที่สุดในอิสตันบลูมีความเก่าแก่ถึง 1,500 ปี มีร้านค้ากว่า 4,000 ร้าน แหล่งรวมสินค้านานาชนิด ทั้งอาหาร เครื่องเทศ เสื้อผ้า เครื่องประดับ ของใช้ ของที่ระลึก ภาพวาด สินค้าพื้นเมือง ถ้วยชาม เครื่องลายคราม งานเซรามิค ของเก่าที่ยังคงความสวยงาม ที่ขึ้นชื่อและเป็นของฝากขายดีก็คือพรหมเช็ดเท้าที่ใครมาที่นี่ก็ต้องซื้อติดมือกลับไป
อย่างงานเซรามิคที่อยากจะนำเสนอเลือกให้ซื้อเป็นของฝาก เพราะงานเซรามิคของที่นี่มีความสวยงาม งานแต่ละชิ้นก็ทำด้วยความประณีต มีลักษณะเฉพาะตัวด้วยลวดลายสีสันของศิลปะพื้นเมือง มีทั้งความชิค ความฮิปปี้ อยู่ในตัวเอง ซึ่งเซรามิคของตุรกีนั้นก็มีมาอย่างยาวนาน
เริ่มจากการนำไปใช้กับสุเหร่าและมัสยิดพัฒนามาเป็นของใช้ จาน ชาม ถ้วยชากาแฟ แก้วน้ำ เหยือก ของตกแต่งบ้าน ตุ๊กตาตัวเล็กตัวใหญ่ ของทุกชิ้นเหมาะสมและคุ้มค่าต่อการซื้อไปฝากใครสักคนที่รอคุณอยู่ที่บ้าน หากจะนำมาตกแต่งบ้านรับรองว่าแขกเหรื่อที่มาเยี่ยมเยียนก็จะต้องประทับใจในความเป็นนักเลือกของมาตกแต่งจนต้องออกปากชมอย่างแน่นอน
ในส่วนของขนมพื้นเมืองและเครื่องเทศ แนะนำให้ไปซื้อที่ตลาดสไปซ์ (Spice Market) ที่มีมาตั้งแต่ปี 2140 ตลาดแห่งนี้สร้างโดยชาวอียิปต์ จึงมีเครื่องเทศ ผลไม้อบแห้งวางจำหน่ายอยู่มากมาย โดยเฉพาะอินทผาลัมนั้นก็ราคาไม่แพง ขนมพื้นเมืองอย่างเตอร์กีช ดีไลน์ ที่ได้เอ่ยถึงตั้งแต่ต้นก็สามารถซื้อหาได้จากที่นี่เช่นกัน และยังมีประเภทขนมที่ทำจากถั่วเฮแซลนัท วอลนัท และพิสตาชิโอ ประเภทขนมบาคลาวา (Baklava) ถ้าหากต้องการซื้อเป็นของฝากก็จะมีการคละชิ้นของแต่ละชนิดแพ็คใส่กล่องให้เป็นอย่างดี
เพิ่มความพิเศษให้ของฝากชนิดนี้อีกอย่างด้วยการซื้อชาแอปเปิ้ลที่จะช่วยทำให้ขนมหวานอย่างเตอร์กีช ดีไลท์ และบาคลาวา มีรสชาติละมุนขึ้น ถ้าชอบถั่วแต่ไม่ชอบขนมที่ทำจากถั่วเนื่องจากรสชาติที่หวานบาดคอ ก็แนะนำให้ซื้อเป็นถั่วเม็ดกลับไปด้วย ที่นี่เป็นแหล่งขึ้นชื่อของการปลูกถั่วรับรองว่าจะได้ถั่วอร่อยถูกใจในราคาไม่แพง ไม่ว่าจะเป็น เฮแซลนัท วอลนัท พิสตาชิโอ ถั่วแดง ที่มีความหอม มัน กรอบ ที่พอมาถึงบ้านเราก็ยังคงรสชาตินั้นเอาไว้
การเดินทางในเมืองอิสตันบลูก็สะดวกสบายด้วยระบบขนส่งสาธารณะ รถไฟฟ้าใต้ดิน รถราง รถแท็กซี่ รสบัสโดยสาร แต่ที่เหมาะสมกับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ มากที่สุดก็ต้องเป็นรถไฟใต้ดินแล้วต่อด้วยรถราง ซึ่งสามารถซื้อบัตรโดยสารแบบเติมเงินเก็บไว้ได้เลย
อิสตันบลูก็เหมือนเมืองใหญ่ทั่วๆ ไปที่ตอนเช้าและตอนเย็นการจราจรจะคับคั่งและมีการเบียดเสียดกันในรถสาธารณะ แต่ถ้าวางแผนการเดินทางให้ถูกช่วงถูกเวลาแล้วละก็ทริปของคุณก็จะฉลุยได้ความสุขสนุกสนานไปครบทุกสถานที่ตามที่ใจต้องการได้เลย
เรื่องโดย สุนันทา จันรวม
How to go there
– บินตรง กรุงเทพ-อิสตันบูล สายการบินเตอร์กีซแอร์ไลน์ (Trukish Airline) https://www.turkishairlines.com
– Thai Airways ต้องต่อเที่ยวบิน https://www.thaiairways.com
– ฺBritish Airways ต้องต่อเที่ยวบิน https://www.britishairways.com
– Emirates Airline ต้องต่อเที่ยวบิน https://www.emirates.com
Where to stay
– The House Hotel Karaköy, Arap Cami Mahallesi, Bankalar Cd. No:5, 34421 Beyoğlu/İstanbul, http://vault-karakoy-the-house.inistanbulhotels.com
– Pera Palace Hotel, Meşrutiyet Caddesi No:52, 34430 Tepebaşı Beyoğlu/İstanbul, https://www.perapalace.com/
– Hilton istanbul kozyatagi hotel, Sahrayı Cedit Mahallesi, Batman Sk. No:4, 34734 Kadıköy/İstanbul, https://www3.hilton.com/en/hotels/turkey/hilton-istanbul
Time to travel
– ฤดูใบไม้ผลิ (เมษายน – กลางมิถุนายน)
– ช่วงอากาศร้อน (ช่วงกลางเดือนมิถุนายน – กลางกันยายน)
– ฤดูคุณใบไม้ร่วง (กลางกันยายน – ตุลาคม)
– ฤดูหนาว (ธันวาคม-มีนาคม)